กว่าจะมาเป็น

​"สัมปทายะวนาราม ฯ"

จากแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาสู่...สัมปทายะวนาราม ฯ
แรกเริ่มเดิมที่ สัมปทายะวนาราม 
เป็นเพียงที่อยู่อาศัยของ นายสิรวัชญ์ และ นางจิรัฐชา เทพกองคำ ที่ตั้งใจใช้ชีวิตภายหลังเกษียณท่ามกลางสายธารา และขุนเขาลำเนาไพร ที่เงียบสงบ โอบล้อมด้วยต้นกาแฟที่ตั้งใจปลูกไว้ เพื่อใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ท่ามกลางเสียงสวดภาวนาจากแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาของทั้งสอง และมิได้มีเจตนาจะสร้างเป็น
สถานปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด
ทั้งคู่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่สัมปทายะวนาราม ฯ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๓

ณ ขณะนั้นเป็นเพียงสวนเมี่ยงและสวนกาแฟเดิมของชาวบ้านที่ปลูกไว้บางส่วน ไม่มีอะไรเลย เป็นเพียงผืนป่าธรรมดาเท่านั้น

ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ... 
แม้กระทั่งน้ำใช้หรือไฟฟ้า...

นายสิรวัชญ์และนางจิรัฐชาจึงสร้างเต็นท์ขึ้นมา และอาศัยอยู่ในเต็นท์รวม ๖ เดือน ในระหว่างที่อยู่ในเต็นท์ ก็เริ่มก่อสร้างศาลาหลังแรก ในระยะแรกได้อาศัยแสงไฟตอนกลางคืนจากตะเกียง อาบน้ำในลำห้วย และสร้างส้วมซึม เพื่อใช้ชั่วคราว ใช้ระยะเวลาในการสร้างศาลาจนถึงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ จึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ในศาลา และค่อย ๆ พัฒนาสร้างขึ้นทีละอย่าง จนกระทั่งปัจจุบันนี้
ขณะนั้นเพื่อนๆ และบุคคลภายนอกรับรู้รับทราบว่าทั้งสองอาศัยอยู่ในเต็นท์แบบปราศจากทั้งไฟฟ้าและน้ำ ที่เอื้ออำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน และคิดว่าต้องอยู่อย่างยากลำบาก แต่ในความเป็นจริง

ทั้งสองกลับมีความสุขที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ธรรมดา เรียบง่าย และเงียบสงบ...

และพึงพอใจกับการใช้ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนั้นมากที่สุด
ทั้งสองมีใจรักฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนา และสวดมนต์ภาวนามาตลอดตั้งแต่สมัยครั้งยังทำงานอยู่ จวบจนมาปักหลักอยู่ที่นี่ก็ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอยู่เป็นนิจ จึงมีเหล่าเพื่อน และกัลยาณมิตรแวะเวียนมาร่วมสวดมนต์ ทำวัตร ปฏิบัติ ร่วมด้วยเป็นระยะ ๆ และบางครั้งได้พักค้างคืนด้วย

ทำให้ในบางคราวศาลารองรับได้ไม่เพียงพอ

จึงได้สร้างบ้านสบายกาย และบ้านสบายใจ เพื่อรองรับเพื่อน และกัลยาณมิตร (ในปัจจุบันบ้านทั้งสองหลังได้ปรับปรุงเป็นสิ่งอื่น) 

ซึ่งการก่อสร้างเมื่อครั้งยังเริ่มต้น นายสิรวัชญ์ ฯ เป็นผู้บุกเบิกลงมือทำเองทั้งหมด โดยมีคนงานเพียงหนึ่งคนที่คอยช่วยทำงานเป็นครั้งคราวเท่านั้น และได้ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวในการจัดสร้างทั้งหมด
ต่อมาไม่นานเริ่มมีพระธุดงค์มาขอพักอาศัยและอยู่จำพรรษา ซึ่งวินัยทางสงฆ์ระบุไว้ว่าท่านฯ จะขาดพรรษาทันที หากจำพรรษาในสถานที่ของฆราวาส และท่านฯ ต้องสวดพระปาฏิโมกข์ในโบสถ์ทุกวันพระ ผนวกกับได้รับแจ้งจากท่านเจ้าคณะอำเภอแม่ออนว่า ถ้าจะทำให้ถูกต้องตามวินัยสงฆ์ ท่านฯต้องอยู่ในสถานปฏิบัติธรรม โดยให้อธิษฐานเขตเสมาขึ้นในสถานที่ และสวดพระปาฏิโมกข์ในโบสถ์ทุกวันพระ 
เพื่อให้ท่านฯ สามารถพำนักได้โดยไม่ขาดพรรษา
จึงเป็นเหตุให้จัดตั้งสถานปฏิบัติธรรมเพื่อไม่ให้พระสงฆ์ที่พำนักในสถานที่ ในระหว่างพรรษาผิดวินัยสงฆ์ โดยได้จัดตั้งในนาม 'สถานปฏิบัติธรรมสัมปทายะวนาราม' โดยสัมปทายะเป็นชื่อปางหนึ่งของพระพิฆเนศ หมายถึงความสมบูรณ์พร้อม วนา หมายถึงป่า และราม หมายถึงเมือง รวมกันหมายถึง บ้านเมืองที่อยู่ในป่าอันอุดมสมบูรณ์ หรือ

เป็นสถานที่สำหรับคนหนีร้อนมาพึ่งเย็น...
สถานปฏิบัติธรรมสัมปทายะวนาราม 
ได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการจัดตั้งเป็นสถาน

ปฏิบัติธรรม จากเจ้าคณะอำเภอ อำเภอแม่ออน 
จังหวัดเชียงใหม่ และยึดการปฏิบัติวิปัสสนา
กรรมฐานแบบอาณาปานสติ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้เมื่อมีสงฆ์เข้ามาอาศัย หรือจำพรรษาในสถานที่ ต้องเรียนแจ้ง แก่เจ้าคณะตำบลห้วยแก้วทุกครั้ง