แนวคิดของ

สัมปทายะวนาราม
'ธรรมะอยู่ที่ใจ'

อาจารย์
ปู่ฤาษี
ทองทิพย์
นายสิรวัชญ์ เทพกองคำ หรือ อาจารย์ปู่ฤาษีทองทิพย์เกิดที่จังหวัดกาฬสินธุ์ แต่ย้ายมาเติบโตที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่วัยเด็ก และอาศัยอยู่จวบจนวัยทำงาน โดยอาจารย์ปู่ฯ เคยรับราชการเป็นทหารเรือในกองดุริยางค์ และดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างส่วนตัวอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งลาออกจากการรับราชการ และยุติการทำธุรกิจ รับเหมาก่อสร้างส่วนตัว จากนั้นได้บวชอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ระยะหนึ่ง จวบจนกระทั่งได้ลาสิกขาออกมาแต่งงาน ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันกับ นางจิรัฐชา เทพกองคำ และได้ทำงานร่วมกัน ที่จังหวัดภูเก็ตอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งมีวาระที่จะต้องยุติ เพราะความเบื่อหน่ายในวิถีชีวิตการทำงาน และไม่ต้องการทำงานอีกต่อไป จึงย้ายมาอยู่ที่ สถานปฏิบัติธรรมสัมปทายะวนารามจวบจนปัจจุบันนี้
อาจารย์
แม่จิรัฐชา
หรืออาจารย์แม่ต๊าฟ
นางจิรัฐชา เทพกองคำ หรือ อาจารย์แม่ เกิดอาศัยอยู่ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และศึกษาเล่าเรียนที่เชียงใหม่จนถึงมัธยมปลาย โดยมีโอกาสศึกษาต่อ
มหาวิทยาลัยรามคำแหงจนจบปริญญาตรี และทำงานที่ธนาคารในกรุงเทพอยู่
ระยะหนึ่ง มีโอกาสย้ายไปทำงานที่จังหวัดภูเก็ตตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ จนมีโอกาส ได้เจอและสมรสกับนายสิรวัชญ์ฯ หรืออาจารย์ปู่ฤาษีทองทิพย์ ได้ทำงานร่วมกันอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตราว ๒ ปี จึงเกษียณและย้ายมาอยู่สถานปฏิบัติธรรมสัมปทายะวนารามจวบจนปัจจุบันนี้
โดยทั้งสองฝักใฝ่ศึกษาและปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลานานมากแล้ว ได้สวดมนต์ภาวนาอยู่เป็นกิจวัตร ตั้งแต่ก่อนเกษียณ จนได้ย้ายมาปักหลัก ณ สถานปฏิบัติธรรมสัมปทายะวนาราม โดยมีเพื่อนกัลยาณมิตร รวมทั้งคนรู้จักใกล้ชิดมาร่วมสวดมนต์ด้วยเป็นระยะ ๆ และเริ่มขอความช่วยเหลือด้านจิตใจ โดยยังคงใช้หลักการปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ภาวนา จนต่อมาเป็นจุดเริ่มต้นของพิธีประสิทธิกายและจิต และมนตราวารีบำบัดขึ้น โดยปัจจุบันพิธีมนตราวารีบำบัดจะจัดทำให้เฉพาะบุคคลเท่านั้น ส่วนทั่วไปอาจารย์ปู่ฤาษีทองทิพย์จะทำพิธีประสิทธิพระคาถา ด้วยพระคาถาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และกำกับด้วยการใส่กำไล(กำไร) โดยมีความเชื่อส่วนบุคคลว่าท่านใดได้ฟังพระคาถาและใส่กำไล(กำไร)แล้ว จะทำให้ได้รับพลังประสิทธิคุณของพระคาถา